วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Electromagnetic Wave เป็น พลังงานที่ถูกปล่อยออกมา ในรูปคลื่นที่มีความถี่ และความยาวคลื่นต่างๆกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของศักดิ์ไฟฟ้า ก็จะเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเสมอ  เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ว่าอะไรคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ตัวอย่างที่ทุกคนรู้จักกัน คือ แสง  รังสีเอ็กซเรย์  รังสี UV  คลื่นวิทยุ ทั้ง AM และ FM  เรดาร์  คลื่นไมโครเวฟ เป็นต้น

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ใช่สนามแม่เหล็ก  สำหรับสนามแม่เหล็ก จะเรียกว่า Magnetic Field เกิดจากแม่เหล็ก ซึ่งเป็นพลังตามธรรมชาติพื้นฐานชนิดหนึ่ง เหมือน Gravity หรือ แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นพลังงานธรรมชาติ พื้นฐานอีกอย่างหนึ่ง  ส่วน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะเรียกว่า Electromagnetic Wave หรือ Electromagnetic Radiation  ในบริเวณที่มี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็อาจเรียกว่า Electromagnetic Field (EMF) ซึ่งตัวย่อ EMF มักเป็นที่นิยมเรียกกัน เมื่อต้องการเอ่ยถึง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ซึ่งต่อไปในบทความนี้ จะเรียกว่า EMF ต่อไป

EMF ในปัจจุบัน พบได้ทั่วไปทุกหนแห่ง เพียงแต่เราไม่ตระหนักถึงมันนัก EMF ที่เราอาจรู้สึกได้ชัดเจน คือ แสง  แต่ EMF อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ทั่วไปนั้น เราไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันนัก รวมทั้งไม่รู้สึก และไม่เข้าใจถึงผลกระทบจากมัน เพราะเรามองไม่เห็น  เหมือนเชื้อโรคที่หมอมักพูดถึง แต่คนส่วนมากก็ไม่เคยเห็นเชื้อโรคจริงๆกัน เพียงแต่ส่วนมากเรายอมรับถึงความมีอยู่ของเชื้อโรค และอันตรายจากเชื้อโรค  ส่วน EMF นั้น เรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับกัน

ทำไมจึงต้องมากล่าวถึง EMF  ตอบได้ว่า เพราะมันเริ่มเข้ามากระทบชีวิตมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ  แต่เดิม EMF อาจไม่มีผลมากนัก ในยุคที่การใช้กระแสไฟฟ้ามีน้อย และการสื่อสารด้วยระบบไร้สายยังไม่มี  แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคของการสื่อสารไร้สาย และ อินเตอร์เน็ท  ก็เริ่มมีการพัฒนาคลื่นที่แก้ปัญหาการสื่อสารแบบเดิม ซึ่งคลื่นแบบเดิมนั้นมีปัญหาในการทะลุทะลวงคอนกรีตไม่ได้  นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาคลื่นซึ่งสามารถทะลุทะลวงคอนกรีตได้ มาใช้ในการสื่อสารไร้สาย นั่นคือ คลื่น Microwave  ครับ คลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตาไมโครเวฟ ที่ใช้ทำให้อาหารสุก หรือ อุ่นอาหาร  ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาจาก EMF ที่มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ทั้งในทางที่เป็นประโยชน์ และทางที่เป็นโทษ

คนส่วนมาก รับรู้ถึงประโยชน์ของ EMF ทั้งในแง่ของการสื่อสารไร้สาย  วิทยุ  โทรทัศน์  ดาวเทียม Internet  WiFi  Data  ฯลฯ  แต่มักไม่ทราบถึงอันตราย  เพราะข้อมูลนี้มักไม่มีใครเผยแพร่ หรือ พิสูจน์ยาก เนื่องจากมีผลกระทบต่อธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้แม้แต่องค์กรของรัฐบาลหลายๆแห่งทั่วโลก ก็ไม่อยากพูดถึงอันตรายของมัน เพราะกระทบต่อเรื่องของการเงินมูลค่ามหาศาล  ดังนั้น สิ่งที่จะพูดต่อไปเกี่ยวกับอันตรายของ EMF นั้น ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเชื่อ แค่เก็บไว้เป็นข้อมูล เอาไปคิด หรือเอาไปใช้ระวัง หรือ จะเพิกเฉย ก็แล้วแต่ละบุคคล

EMF รอบๆตัวเรา มาจากอะไรบ้าง?  ในที่นี้จะพูดชัดๆถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวหลักๆ ที่ส่งผลต่อเราได้ นั่นคือ
1. เตา Microwave
2. WiFi Router
3. โทรศัพท์มือถือ  วิทยุสื่อสาร
4. โทรศัพท์บ้าน แบบไร้สาย
5. Computer ทั้ง Notebook และ Desktop
6. เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
7. เสาส่งสัญญาณ WiFi
8. Baby monitor ที่ใช้ WiFi
9. กล้องวงจรปิด ที่ใช้ WiFi
10. หม้อแปลงไฟฟ้า
11. อุปกรณ์ภายในรถยนต์
12. สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ ไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้กระแสสลับ หรือใช้ กระแสตรง แต่กระแสไม่นิ่ง
13. รีโมททีวี รุ่นใหม่ที่ใช้ WiFi เชื่อมต่อกับทีวี

การที่เราจะรู้ได้ว่า มี EMF บริเวณนั้นมากแค่ไหน จำเป็นต้องมีเครื่องมือวัด EMF ซึ่งอาจเรียกว่า "Smog meter"  เนื่องจากบริเวณที่มี EMF มากกระจายมาจากแหล่งต่างๆ จะมีคำศัพท์เรียกว่า Electrosmog  เปรียบเสมือนมลภาวะพวกหมอกควัน แต่เป็นมลภาวะจาก EMF แทน  ปกติแล้ว แต่ละประเทศ อาจกำหนดค่าความปลอดภัย ของระดับ EMF ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญา และผลประโยชน์ ของผู้นำรัฐบาลประเทศนั้นๆ รวมถึงความตระหนักถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน  แต่จากข้อมูลใน Smog meter รุ่นหนึ่ง ซึ่งกำหนดค่ามาตราฐานไว้ ในโซนสีเขียว ซึ่งหมายถึง ยังปลอดภัย กำหนดให้ค่า RF หรือ ช่วงคลื่นที่เป็น Radio Frequency นั้น ไม่ควรเกินระดับ 0.18 mW/m2  ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทำการทดลองวัดค่าต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ และการพบปัญหาสุขภาพ เมื่อเทียบกับค่าของ EMF ที่วัดได้ ก็พบว่า ค่าที่กำหนดมา 0.18 mW/m2 นั้น น่าเชื่อถือได้

นอกจาก EMF ที่มีความถี่ระดับ RF แล้ว ยังมี EMF ที่อยู่ในระดับความถี่ที่ต่ำลง คือ อยู่ในช่วง Low Frequency หรือ LF  ซึ่งมักจะพบถูกปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ เนื่องจากกระแสสลับมีความถี่ 50-60 Hz อยู่แล้ว จึงทำให้เกิดคลื่นที่ความถี่ประมาณนี้ออกมาส่วนหนึ่ง  นอกจากนี้ ความไม่นิ่งของกระแสไฟฟ้า จากการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ยังทำให้เกิดคลื่นเล็กๆ ซ้อนอยู่บนคลื่นหลักที่กล่าวไปแล้ว  คลื่นเล็กๆพวกนี้ เรียกว่า Dirty Electricity เพราะมันทำให้เกิด EMF ที่มีความถี่ต่างๆ ถูกปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟฟ้า ซึ่งยากจะคาดได้ว่า มีความถี่อะไรถูกปล่อยออกมาบ้าง แม้ส่วนใหญ่จะเป็นความถี่ในระดับ LF แต่ก็มีอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง ก่อให้เกิดคลื่นระดับ RF ออกมาด้วย ส่วนความรุนแรงของคลื่น มักจะขึ้นกับกระแสที่ไหล ถ้าสูง ก็มักจะเกิดขึ้นที่มีพลังงานมากกว่า  การจะวัดว่า ในระบบสายไฟฟ้าของเรานั้น เกิด Dirty Electricity มากแค่ไหน ต้องใช้เครื่องวัดที่เป็น Oscilloscope ปรับแต่งให้เห็นช่วงคลื่นระดับเล็กได้  แต่มีผู้คิดอุปกรณ์วัดค่า Dirty Electricity ให้ใช้งานง่าย เพียงแค่เสียบปลั๊กเข้าไปในระบบสายไฟ แล้วอ่านตัวเลขได้เลย  เครื่องวัดนี้เรียกว่า " Stetzerizer meter"  ปกติ ค่าที่ดีมี Dirty Electricity น้อย ควรอยู่ต่ำกว่า 50  การแก้ไขให้ Dirty Electricity ให้มีระดับลดลง ต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า " Stetzerizer " 

1 ความคิดเห็น: