วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

4. วิธีการป้องกัน EMF

ในเมื่อชีวิตเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัส EMF ได้ เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ โดยไม่ให้มันทำร้ายเรา  สำหรับคนที่ไม่รู้สึกว่า ตัวเองได้รับผลกระทบกับสุขภาพ จาก EMF อาจไม่ต้องสนใจก็ได้ ไว้รอให้รู้สึกว่า มันเริ่มมีผลกระทบกับสุขภาพ ค่อยกลับมาอ่านอีกที  เพราะจากที่กล่าวมาแล้วว่า มีคนประมาณ 3 % ที่รู้สึกถึงผลกระทบจาก EMF ค่อนข้างมาก คือเป็นกลุ่มคนที่ไวต่อ EMF

ขอแบ่ง EMF จากแหล่งที่มากระทบเราเป็นหลัก คือ

1. EMF ที่มาจากภายนอก ได้แก่ เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เสาส่งสัญญาณ WiFi  หม้อแปลงการไฟฟ้า  สายไฟฟ้าที่เดินตามข้างถนน สายไฟฟ้าแรงสูง  EMFจากห้องพักที่อยู่ติดกับห้องของเรา

2. EMF ที่อยู่ภายในบ้านหรือที่ทำงานของเราเอง ได้แก่ เตา Microwave  WiFi Router  โทรศัพท์มือถือ  คอมพิวเตอร์ Notebook และ Desktop  ตู้เมนไฟฟ้า  สายไฟฟ้า  อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

3. EMF ในรถยนต์

การจะป้องกัน EMF ให้ได้ผล ดีที่สุดคือ ต้องมีเครื่องวัด EMF หรือ Smog meter เพราะจริงแล้ว ถ้าไม่วัด เราก็มองไม่เห็นว่า มันมีค่ามากแค่ไหน และสิ่งที่เราทำไปมันได้ผลหรือไม่  ถ้าใครมีปัญหาสุขภาพจริงๆ และหาสาเหตุของปัญหาไม่เจอ และอยากทราบว่า ปัญหาเกิดจาก EMF หรือไม่ ก็คงต้องลงทุนซื้อเครื่องวัด EMF แล้วหาทางปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้ค่า EMF บริเวณที่เราอยู่ประจำ ให้ต่ำกว่า 0.18 mW/m2 จะดีที่สุด โดยเฉพาะจุดที่เราอยู่นานๆคือ ที่นอน ที่นั่งทำงาน ที่นั่งเล่น เพราะ 3 จุดนี้ เราใช้ชีวิตอยู่กับมันวันหนึ่ง อาจถึง 20 ชม.แล้ว ถ้า 3 จุดนี้มีค่า EMF สูงเกินไป คุณจะค่อยๆป่วยแบบไม่รู้ตัว  ทีนี้ถ้าไม่มีเครื่องวัด EMF หรือยังไม่อยากลงทุน ก็คงต้องใช้วิธีป้องกันแบบเดาสุ่ม ซึ่งคงได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ถ้าแบ่ง EMF แบบง่ายๆในแง่การป้องกัน ตามย่านความถี่ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1. RF เป็นย่านความถี่ Radio Frequency ซึ่งใช้คลื่น Microwave เป็นหลัก  เป็นช่วงคลื่นความถี่สูง ซึ่งหน่วยงานที่กำหนดมาตราฐานเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ปล่อยคลื่นพวกนี้ จะกำหนดค่า SAR Value (Specific absorption rate) ว่า โทรศัพท์มือถือ หรือ อุปกรณ์อื่นๆ ห้ามปล่อยพลังงานออกมาเกินเท่าไร เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้  ความถี่ย่าน RF นี้ เราสามารถบล๊อกได้ด้วย โลหะ หรือผ้าที่เส้นใยมีส่วนผสมของโลหะ  หรือมุ้งลวดอลูมิเนียม

2. LF เป็นย่านความถี่ Low Frequency ส่วนมากจะปล่อยออกมาจากพวกสายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้า ตู้เมนไฟฟ้า  ความถี่ย่าน LF นั้นบล๊อกได้ยากมาก ใช้โลหะปกติก็บล๊อกไม่อยู่  ถ้าจะบล๊อก LF กันให้ได้จริงๆ ก็คงต้นทุนสูงมาก  วิธีหลีกจาก LF คือ อยู่ห่างๆพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟ ทุกอย่าง ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้  แต่ไกลแค่ไหน กำหนดชัดไม่ได้ ขึ้นกับพลังงานของแหล่งกำเนิด LF  เช่น ถ้าเป็น adaptor ชาร์ทมือถือ คุณอาจอยู่ห่างสัก 1 เมตร ก็พ้นรัศมีแล้ว  แต่ถ้าเป็นหม้อแปลงของการไฟฟ้า หรือสายไฟฟ้าแรงสูง คุณอาจต้องอยู่ห่างมันถึง 50 เมตร หรือ เป็น 100 เมตร เพราะมันมีผลต่อการเบี่ยงเบนสนามแม่เหล็กโลกด้วย นอกจากคลื่นที่มันปล่อยออกมารอบๆตัว  ดังนั้น สำหรับ LF หลักการคือ อยู่ห่างๆอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มากที่สุด  อยู่ใกล้ หรือ สัมผัส เฉพาะเท่าที่จำเป็น

ถ้าไม่มี Smog meter คุณก็ต้องสืบหาว่า มีแหล่ง EMF นอกบ้านหรือไม่ คุณต้องสำรวจบริเวณรอบบ้าน ในรัศมี 300 เมตร ว่ามีเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือหรือไม่ ถ้ามีอยู่ทิศไหน  ถ้าคุณจะบล๊อก EMF จากเสาส่งสัญญาณ  คุณสามารถทำได้โดยใช้ Foil ที่ใช้กันความร้อนใต้หลังคา มีขายเป็นม้วนๆ เอามาติดที่ผนังบ้านด้านที่เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์อยู่  ส่วนบริเวณที่เป็นหน้าต่าง ใช้มุ้งลวดอลูมิเนียม ห้ามใช้มุ้งลวดพลาสติก  เท่านี้คุณก็จะสามารถบล๊อกคลื่น RF จากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่จะเข้ามาในบ้านได้เหลือระดับที่ปลอดภัย และคุณยังสามารถใช้โทรศัพท์ได้อย่างไม่มีปัญหา

อย่างต่อไปคือ RF ที่มาจาก WiFi  ถ้าเป็นบ้านเดี่ยว คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นทาวน์เฮ้าส์  อาคารพาณิชย์ คอนโด ห้องเช่า  คุณอาจได้รับคลื่นจาก WiFi Router หรือ เตา Microwave ของเพื่อนบ้าน  ยิ่งถ้าผนังห้องอีกด้านของเพื่อนบ้าน วาง WiFi Router ไว้ แต่ผนังห้องฝั่งของเราเป็นหัวเตียงนอนของคุณ หรือที่นั่งทำงานประจำ  คุณก็จะเริ่มป่วยโดยหาสาเหตุไม่เจอ  ถ้ามีเครื่อง Smog meter วัดทีเดียวก็รู้ว่า EMF มันแรงมาจากผนังส่วนไหน  ถ้าไม่มี คุณก็ต้องใช้วิธีอื่น เช่น อยู่ในห้องตัวเองแล้วใช้โทรศัพท์มือถือ Scan หาสัญญาณ WiFi  ถ้าเจอสัญญาณ WiFi แรงๆ แต่ไม่ใช่ของคุณ คุณก็ต้องนึกไว้ว่า มันมาจากห้องอื่น ซึ่งอาจเป็นห้องข้างๆ ห้องข้างบน หรือห้องข้างใต้  เวลาคิดถึง EMF คุณต้องคิดถึงมันทุกทิศทาง  ถ้าเตียงที่คุณนอน อยู่ชิดผนังซึ่งติดกับห้องคนอื่น แล้วไม่แน่ใจว่าจะมี EMF ทะลุมาหรือเปล่า ก็ติด Foil ที่กำแพงด้านนั้นซะ  ถ้ากลัวไม่สวย ก็ให้ช่างมาทากาวติดแบบ Wall Paper เลย แล้วหา Wall Paper สวยๆปิดทับอีกที  หรือถ้าไม่แน่ใจว่า ผนังด้านนั้น ห้องที่ติดกันวาง WiFi Router หรือ Microwave ไว้หรือเปล่า ก็ลองเดินไปเคาะห้องข้างๆ ถามดูเลย ง่ายดี ติดของฝากไปหน่อยก็ได้ ผูกมิตรไว้  แล้วก็ให้เค้าอ่าน Blog นี้ จะได้ระวังตัวไปด้วยกัน

ง่ายมั้ยครับ RF จากนอกบ้าน ป้องกันง่ายนิดเดียว แค่มี Foil ที่ใช้มุงหลังคา เอามาติดแทน Wall Paper ด้านที่ RF ทะลุเข้ามา

ที่นี้แหล่ง RF จากในบ้าน เริ่มที่เตา Microwave อยากจะบอกทุกท่านว่า ให้เตือนแม่ครัว และคนรักของท่าน เวลาเปิดเตา Microwave ให้เดินออกห่างจากเตาอย่างน้อย 5 เมตร ถ้าจะให้ดี 10 เมตรเลย เพราะผมวัดค่า RF มาแล้วกับ เตา Microwave อย่างน้อย 2 ยี่ห้อ เวลาเปิดเครื่อง ค่า RF บริเวณหน้าเตา ขึ้นไปทะลุ Scale เครื่องวัด Smog meter เลย ต้องเดินถอยออกมาประมาณ 10 เมตร ค่าจึงลดระดับมาในระดับที่ต่ำ  นั่นแปลว่า แม่บ้านที่อยู่ ในห้องครัว และทำอย่างอื่นไปเรื่อยๆ ขณะที่เปิดเตา Microwave จะได้รับอันตรายจาก EMF อย่างรุนแรง

อย่างถัดไปคือ WiFi Router ที่คนส่วนใหญ่ชอบหาซื้อแบบแรงๆ เสายาวๆ หลายๆเสา และมักเอาไปวางตรงที่สะดวก โดยเฉพาะตรงคอมพิวเตอร์ จะได้ไม่ต้องลากสาย Lan ไกล  นั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด  ขอบอกเลยว่า ค่า RF รอบๆเครื่อง WiFi Router จะวัดค่าได้ประมาณ 50-100 mW/m2 ขึ้นอยู่กับรุ่นของ WiFi Router  คงจำได้ว่า ค่าที่ปลอดภัย ควรอยู่ไม่เกิน 0.18 mW/m2  ดังนั้น ควรหาที่ตั้ง WiFi Router ในตำแหน่งที่ห่างจากจุดที่เรานั่งทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวันนานๆ อย่างน้อย 3 เมตร  และไม่ควรใช้ WiFi Router รุ่นเสายาว และหลายเสา เพราะ ถ้าใช้รุ่นนั้น ห่างออกไปประมาณ 6 เมตร ยังมีระดับที่อันตรายเลยครับ เท่าที่วัดดู  ในกรณีที่เราไม่อยากให้ RF จาก WiFi Router พุ่งตรงมาที่เรา เราอาจทำสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้กระดาษแข็ง บุด้วย Foil มุงหลังคา หรือ Foil ทำอาหารก็ได้  เอามาขวางไว้ระหว่าง WiFi Router กับตัวเรา  RF จะถูกสะท้อนไปด้านตรงข้ามแทน

คอมพิวเตอร์ Notebook จะมีผลกับเรา 3 อย่างคือ จาก LF ซึ่งมีความแรงมากบริเวณเหนือ Keyboard และหน้าจอ ยิงเสียบสายชาร์ทด้วย ยิ่ง LF แรง   RF จะแรงเมื่อมีการใช้ WiFi ของเครื่อง  และอย่างสุดท้ายคือ จากสนามแม่เหล็กซึ่งอยู่ใน Hard disk ปกติ Hard disk จะมีแม่เหล็ก Neodymium ซึ่งเป็นแม่เหล็กกำลังสูงอยู่  การวางมือสัมผัสเหนือแม่เหล็กกำลังสูงนานๆ ไม่ดีเท่าไรนัก  ดังนั้น การใช้ Notebook ถ้าจะให้ดี ควรหาซื้อ Keyboard แบบมีสายมาต่อ เพื่อให้มือเรา ไม่ต้องอยู่เหนือ Notebook โดยตรง และใช้ Mouse แยกต่างหาก แต่บอกล่วงหน้าว่า ถึงใช้ Keyboard และ Mouse แยกแล้ว เวลาใช้งาน ก็ไม่ควรเอามือวางบน Keyboard และ Mouse ตลอดเวลา ให้เอาไปวาง เวลาจำเป็นเท่านั้น และให้วาง Notebook ให้ไกลจากตัวให้มากที่สุด เท่าที่ยังมองเห็น ใช้งานได้  อย่าวางบนตักเด็ดขาด อย่านอนเล่น วางบนหน้าอก ถ้าไม่อยากเส้นเลือดหัวใจตีบตันเร็วก่อนวัยอันควร หรือ โรคอื่นๆอีกมากมายที่เป็นได้

คอมพิวเตอร์ Desktop เดี๋ยวนี้ ส่วนมากมี WiFi ในตัวด้วยถ้าเป็นรุ่นที่ไม่มี WiFi คุณก็จะได้รับคลื่น LF เป็นหลัก แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มี WiFi หรือใช้ Keyboard และ Mouse ไร้สาย ก็จะได้รับ RF แถมมาด้วย  การใช้คอมพิวเตอร์ Desktop ให้ปลอดภัยขึ้น คือ ควรต่อสาย Ground   ควรวางตัวเครื่องส่วนที่เป็น CPU ให้อยู่ห่างจากเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  สายไฟที่พะรุงพะรังมากมาย ให้เก็บไปให้ห่างตัว อย่าไปนั่งเหยียบสายไฟพวกนั้น  เวลาใช้คอมฯก็ อย่าวางมือแช่บน Keyboard และ Mouse ตลอดเวลา ให้ยกออก เอามือวางเฉพาะเวลาจะใช้

โทรศัพท์มือถือ ยังไงก็เลี่ยงการใช้ไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่า โทรศัพท์จะปล่อยคลื่นรุนแรงเวลาไหน  บางคนอาจเถียงว่า มีการทดสอบ กำหนดค่า SAR Value แล้ว มันก็ต้องปลอดภัย  มันไม่จริงหรอกครับ เพราะค่า SAR ที่เค้ากำหนดไว้ มันค่อนข้างสูง  และเค้าวัดเวลาใช้งานพูดคุย  แต่ อันตรายที่แรงๆของมือถือ มันมาจากเวลา WiFi และ Data ทำงานรับส่งข้อมูล ค่า RF จะขึ้นไปสูงมากเป็นระดับ ร้อยๆ mW/m2 เลย  ยิ่งบางคนไม่รู้ อยากประหยัดค่าโทรศัพท์ ใช้การโทรผ่าน Skype หรือ Line ซึ่งมันต้องใช้ WiFi หรือ Data และไม่ได้ใช้สายเสียบหูฟัง  ผมรับรองได้เลยว่า คนที่ใช้วิธีนี้ประจำ จะเป็นเนื้องอกในสมอง ในเวลาไม่นานนัก  เวลาที่ Data ทำงาน RF ที่ออกมาจะรุนแรงกว่า WiFi ทำงาน  ถ้าคุณเล่นมือถือแล้วรู้สึกตึงนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก คอ บ่า ไหล่ ปวดตา นั่นแหละครับ คุณโดน EMF เล่นงานแล้ว ถ้าคุณถือโทรศัพท์ไว้ระดับท้อง หรือท้องน้อย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอวัยวะสำคัญทั้งนั้น ก็อันตรายที่จะเกิดปัญหาในช่องท้อง เช่น มะเร็ง (WHO กำหนดให้ RF จากอุปกรณ์สื่อสาร อยู่ในกลุ่ม 2B คือมีความเสี่ยงอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้) ปัญหากับรังไข่ ในผู้หญิง หรือ การผลิตน้ำอสุจิ ในผู้ชาย อาจเป็นหมัน มีลูกยาก หรือผิดปกติทางพันธุกรรม ได้  ดังนั้น เวลาเล่นมือถือ ให้วางบนโต๊ะ อยู่ให้ห่างเท่าที่ทำได้ อย่าจับมือถือตลอดเวลาที่ WiFi หรือ Data ทำงาน  เวลาคุยโทรศัพท์ ถ้าต้องคุยนาน ควรใช้สายเสียบ ดีกว่าใช้ Bluetooth  ถ้าไม่มี ให้ถือโทรศัพท์ให้ห่างหูให้มากที่สุด เท่าที่คุยได้ยิน หรือเปิด Speaker จะได้ไม่ต้องเอามาแนบหู  เวลาไม่ใช้เน็ท ให้ปิดทั้ง WiFi และ Data แล้วค่อยพกใส่กระเป๋า จะปลอดภัยกว่าเปิดทิ้งไว้ ยกเว้นจะมีถุงกัน EMF ใส่

โทรศัพท์บ้านแบบไร้สาย อย่าใช้ครับ มันมีคลื่นออกมาค่อนข้างรุนแรงในบางรุ่น  เปลี่ยนไปใช้แบบมีสายแทน ปลอดภัยกว่า

LF จากสายไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์ไฟฟ้า และตู้เมนไฟฟ้า ทางเลี่ยงที่ดีที่สุด คืออยู่ห่างๆ ก็จะปลอดภัย  การจะอยู่ห่างๆได้ ก็แค่อาศัยการสังเกตุ ถ้าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ทีวี ตู้เย็น พัดลม มอเตอร์ ที่เป่าผม เรารู้แล้วก็อยู่ห่างๆได้ อย่างไดร์เป่าผม ก็อย่าถือใกล้ศีรษะนัก เพราะมันปล่อยทั้ง LF และ RF  สำหรับ LF จากสายไฟ เป็นอะไรที่ลึกลับพอควร เพราะ ถ้าสายไฟที่เรามองเห็น มันก็เลี่ยงไม่ยาก ปัญหาคือ สายไฟที่เรามองไม่เห็น ที่อยู่ในกำแพง ในฝ้าเพดาน หรือในพื้น  อย่างพวกสำนักงานที่วางแนวสายไฟไว้ในพื้น ถ้าแนวนั้นเป็นจุดที่คุณนั่งทำงาน และวางเท้าไว้พอดี คุณจะมีปัญหาเกี่ยวกับเท้าและขา ของคุณอย่างแน่นอน  บริเวณที่นอนเป็นอีกจุดที่สำคัญมาก สมมติที่นอนคุณอยู่ชั้น2 แล้วบังเอิญชั้นล่าง ตรงกับใต้ที่นอนของคุณ เป็นตู้เมนไฟของบ้าน ซึ่งลากสายซ่อนในกำแพงตรงขึ้นมาผ่านผนังบริเวณที่เตียงคุณนอนอยู่ เพื่อทะลุขึ้นไปถึงฝ้าเพดาน ก่อนที่จะกระจายไปห้องอื่น  ถ้าคุณมีเครื่องวัด EMF คุณจะพบว่า ผนังห้องด้านนั้นจะมีค่า LF แผ่ออกมาอย่างแรง อาจกระจายออกไปไกลเป็นเมตรเลย  อีกอย่าง ค่า LF ของแต่ละจุดจะเปลี่ยนไปขึ้นอยุ่กับการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าของแต่ละจุดด้วย  ถ้ามีเครื่องวัด ก็ต้องละเอียด และวัดเมื่อเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหลาย เหมือนสภาพใช้งานจริง ค่อยลองวัด หรือวัดหลายๆเวลา ก็จะพบว่า แต่ละช่วงเวลา มีค่า LF เกิดขึ้นไม่เท่ากัน

สำหรับ EMF จากรถยนต์  ถ้าไม่มีเครื่องวัด คงยากที่จะตัดสินว่า รถรุ่นที่สนใจ หรือใช้อยู่ มีค่า EMF สูงเป็นอันตรายหรือไม่  อาจจะสังเกตได้ง่ายๆโดยดูใต้คอนโซลด้านคนขับ ถ้ามีสายไฟเยอะๆ มีกล่องฟิวส์อยู่ด้านนั้น ก็น่าจะมีค่า EMF สูง  ถ้ารถรุ่นไหน ก้มมองดูแล้ว ไม่ค่อยมีสายไฟแถวใต้พวงมาลัย กล่องฟิวส์อยู่ด้านซ้าย  สายไฟถูกจัดระเบียบไปอยู่ไกลจากขา และเข่าของเรา ก็จะปลอดภัยกว่า  อีกอย่างครับ คือ Cross over ของลำโพงแยกชิ้น ปล่อย RF ออกมาค่อนข้างมาก เท่าที่วัดดู เกินระดับความปลอดภัย ถ้าจะติด ก็อย่าให้อยู่ใกล้ตัว และอย่าให้ร้านเครื่องเสียง เดินสายไฟใต้พรมบริเวณที่เราวางเท้า  รถยนต์รุ่นใหม่ๆมีเครื่องเสียงที่ปล่อยสัญญาณ WiFi และ Bluetooth ได้ อยากเตือนว่า ถ้าไม่อยากป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุก็ให้ปิดทิ้งไปเลยอย่าเปิดทิ้งไว้ การปล่อยสัญญาณ Wifi ในรถยนต์ คลื่นจะสะท้อนอยู่ในรถแรงกว่าปกติ เพราะตัวถังรถเป็นโลหะ และมีฟิลม์กรองแสงด้วย คุณจะอ่อนเพลีย และเสียสุขภาพมาก กับการขับรถที่มีระดับ EMF สูง  รถบางรุ่นก็มีแบตเตอรี่ซ่อนอยู่ใต้ที่นัง คุณก็จะได้รับคลื่นผ่านที่นั่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเราทำงานกับคอมฯ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้านานๆ ร่างกายจะเกิดการสะสมของประจุไฟฟ้า ทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย เราต้องพยายาม Ground ร่างกาย เช่นไปอาบน้ำ หรือ ไปยืนบนสนามหญ้าที่เปียกชื้นเท้าเปล่า ถ้าฉีดน้ำบริเวณรอบๆสนามหญ้า จะช่วยทำให้ Air ion บริเวณนั้นมีประจุลบ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เราสดชื่น ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ถ้าทำเป็นประจำ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น เพราะลดการสะสมของประจุไฟฟ้าในร่างกาย

สุดท้าย การป้องกันเฉพาะตัว มีเสื้อผ้า มุ้ง ผ้า ที่ป้องกัน RF ได้ สามารถหาซื้อทางเน็ทจากต่างประเทศมาใส่ เพื่อลดปริมาณ EMF ที่จะเข้าไปสู่ร่างกายเราได้ครับ ลอง Google หาดู  ผ้าพวกนี้ จะใช้ Nano technology ฝังละอองโลหะ พวก เงิน หรือ โครเมียม ลงไปในเส้นใย แล้วเอามาทอเป็นผ้า ทำให้เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยพวกนี้ สามารถกันคลื่น RF ได้ดีครับ

เกือบลืมบอกอีกอย่าง พวกช่างเชื่อมโลหะที่ใช้ไฟฟ้าเชื่อมน่ะครับ เวลาเชื่อมเค้าคิดว่ามีแต่ UV ที่ต้องป้องกัน เค้าเลยกันแต่หน้า และแขน แต่เค้าไม่ได้กันระหว่างขา เพราะเค้าไม่รู้ว่ามันมี EMF อื่นออกมาด้วยรุนแรง  ส่วนมากพวกนี้เป็นหมันกันครับ ผมละสงสารน้องๆที่เรียนช่างเชื่อม ที่จะต้องเป็นหมันกัน เพราะไม่มีใครบอกให้ป้องกัน  ถ้าจะเรียนจริงๆก็หา กระจับนักมวยที่เป็นอลูมิเนียมแบบทึบ มาใส่ป้องกันซะหน่อยนะครับ ถ้าจะให้ดี ก็ควรใส่ชุดป้องกัน EMF เพิ่มด้วย ฝากเตือนด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

3. EMF มีผลต่อสุขภาพจริงหรือ?

เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า จริงๆแล้ว EMF มีผลเสียต่อสุขภาพจริงอย่างที่บางคนว่าหรือเปล่า  แม้จะมีรายงานว่า มีสถิติการเกิดมะเร็งสมองเพิ่มขึ้น หรืออาการป่วยต่างๆเพิ่มขึ้น ในกลุ่มคนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ หรือ กลุ่มคนที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์  แต่ก็มักมีนักวิจัย หรือแพทย์ ฝ่ายตรงข้ามที่ออกมาแย้ง คัดค้านด้วยข้อมูลเสมอๆว่า ข้อมูลไม่ชัดเจนบ้าง พิสูจน์ไม่ได้บ้าง ว่า EMF เป็นสาเหตุของโรคต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยมากมายที่อาจเป็นต้นเหตุ และคนจำนวนมากก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร  ยิ่งในประเทศด้อยพัฒนา ปัญหาสุขภาพจาก EMF ไม่ต้องพูดถึงเลย เหมือนเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผู้นำประเทศ ตราบใดที่บริษัทผู้นำการสื่อสารยังส่งผลประโยชน์ให้รัฐบาลจำนวนมหาศาล  เรื่องที่จะไปนำเสนอว่า EMF จากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ คงไม่ต้องไปหวัง

สำหรับคนอื่น จะเชื่อข้อมูลจากด้านไหนก็แล้วแต่ครับ จะเชื่อว่า EMF เป็นอันตราย หรือ ไม่เป็นอันตราย ก็แล้วแต่  ส่วนตัวผมเอง มีประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องนี้พอควร  คือเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ผมเริ่มมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องข้อบ่อยๆ มีอาการปวดหลัง ปวดข้อสะโพก ปวดข้อเท้า สลับกลับไปกลับมา ลักษณะการปวดก็แปลกๆ หาสาเหตุอะไรก็เจอแต่ Uric สูงกว่าปกติ ก็คิดว่าเป็นโรคเก้าท์  ตามสภาพลักษณะการใช้ชีวิต และรูปร่าง  ก็รักษาด้วยการกินยาลดยูริค  ยาลดการอักเสบของข้อกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์  แรกๆเวลามีอาการ ก็คุมอยู่ กินยาไม่นานก็หายเป็นปกติ แต่ต่อมา อาการของโรคก็เริ่มแย่ลงอย่างรุนแรง และส่วนมากจะปวดข้อเท้ามาก ปวดแต่ละครั้งก็จะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้าทั้งสองข้างช่วยพยุงเดิน  กินยาเหมือนที่เคยกินก็ไม่หาย จนสุดท้ายกินสเตียรอยด์ช่วย ก็ดีขึ้นบ้างแต่ไม่หาย อาการที่เป็นเริ่มเป็นถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากสองสามเดือนเป็นครั้ง กลายเป็นเดือนละครั้ง กลายเป็นสองสัปดาห์เป็นครั้ง จนสุดท้ายมีอาการปวดข้อเท้าตลอดเวลา จนแทบจะต้องนอนบนเตียงตลอด  คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ไปตรวจร่างกาย เจาะเลือดทั่วไป เอ็กซเรย์ อัลตร้าซาวด์ ไม่เจออะไรเป็นพิเศษ นอกจาก Uric สูงประมาณ 7 ก็ยังคิดว่าเป็น เก้าท์ แต่ก็แปลกใจตรงที่รู้สึกว่า อาการมันไม่เหมือนเก้าท์ มันเหมือนภูมิต้านทานทำลายตัวเอง ทำลายข้อเท้าตัวเอง เช่น ถ้ามีการบาดเจ็บที่กระดูกหรือเอ็นข้อเท้าแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเริ่มบวมแดงขึ้นมาทีละน้อย จนบวมแดงร้อน อักเสบรุนแรง เดินไม่ได้ เหมือนภูมิต้านทานตัวเอง มาทำลายข้อ และกระดูกตัวเอง โดยที่่จำไม่ได้ว่ามันเป็นอวัยวะของเราเอง  จนเมื่ออาการหนักเต็มที่ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ไม่อยากทำอะไร คิดว่าตัวเองคงใกล้ตายแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง

วันหนึ่ง ผมไปเห็นพลาสเตอร์แม่เหล็กของญี่ปุ่น ที่คุณแม่ แปะติดที่เข่า แก้ปวด ก็เอามาดูด้วยความไม่เชื่อว่ามันจะช่วยอะไรได้ เห็นมีแม่เหล็กขนาดจิ๋วติดอยู่ที่พลาสเตอร์นั้น ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาด้วยแม่เหล็ก หรือ Magnetotherapy  พอศึกษาหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็พบว่า ระยะหลังมีการพัฒนาวิธีการรักษาเป็นการใช้แม่เหล็กแบบเป็นจังหวะ หรือ Pulsed Magnetic ผมยังไม่เชื่อว่า แม่เหล็กจะรักษาโรคได้จริง พอดีที่บ้านมีแม่เหล็กกลมแบบเล็กๆ ที่ซื้อมาจากร้านเครื่องเขียน  และจังหวะนั้นเอง ผมเกิดมีก้อนแข็งๆเกิดขึ้นที่นิ้วโป้งเท้า ลักษณะเหมือน ที่คนชอบเป็นกันที่ข้อมือ ที่เรียกว่า Carpal Ganglion Cyst เพียงแต่ไปเกิดที่ข้อนิ้วโป้งเท้า ซึ่งปกติส่วนมากการรักษา มักจบลงที่การผ่าตัดเอาออก  ช่วงนั้นนึกยังไงไม่รู้ ลองเอาแม่เหล็กที่มี ติดบนกระดาษกาว ก่อน แล้วเอาไปแปะติดไว้ที่ก้อน ก่อนนอน คือ อยากลองว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พอตื่นมาตอนเช้า ก้อนที่แข็ง มันนุ่มลง และยุบลงไป ก็เอาแม่เหล็กออก พอเดินไปมาตามปกติ มันก็เริ่มปูดขึ้นมาอีก ก็แปะใหม่ก่อนนอน  ทำอยู่อย่างนี้ทุกวัน  4-5 วัน ก้อนมันก็เล็กลงเรื่อยๆ และก็หายไป โดยไม่ได้รักษาด้วยวิธีอื่นเลย  นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มเชื่อว่า สนามแม่เหล็กมีผลต่อร่างกาย มีผลต่อการรักษาได้จริง

หลังจากศึกษาต่อมาเรื่อย ข้อมูลเรื่องแม่เหล็ก ก็เริ่มไปเกี่ยวข้องกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Electromagnetic Field (EMF)  การศึกษาก็เลยเริ่มมาเกี่ยวข้องกับ EMF  ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า EMF มันมีผลต่อสุขภาพจริงหรือ  จนวันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นหมอฟันอยู่ออสเตรเลีย ถามว่า เพื่อนเค้ามีอาการนิ้วมือล๊อค ตึง จะแก้ไขยังไงดี  ก็ได้แต่แนะนำไปตามมาตราฐาน และก็ให้กิน Fish oil บ้างเผื่อจะช่วยได้ ส่วนคนที่เป็นมากจริงๆ ส่วนหนึ่งก็ต้องไปผ่าตัดแก้ไข  ในใจก็คิดว่า ตัวเราเองก็เริ่มมีปัญหานิ้วมือตึงตลอดเวลาทุกนิ้วเหมือนกัน ก็ยังแก้ไม่หาย เลยเริ่มตั้งคำถามว่า ที่นิ้วมือตึงนี่เป็นจากการเล่นโทรศัพท์มือถือ และ Notebook หรือเปล่า?  จากความรู้ที่หาข้อมูลเกี่ยวกับ แม่เหล็ก และ EMF มาก่อน จึงได้ทดลองสั่งซื้อถุงมือป้องกัน EMF ซึ่งปกติจะทำจาก Silver Fiber มาทอเป็นถุงมือ  หลังจากทดลองใส่แทบตลอดเวลา ยกเว้นตอนอาบน้ำ และตอนกินอาหาร  เป็นเวลา 3 วัน พบว่า อาการนิ้วมือที่เคยตึง กำไม่ค่อยลง มันหายได้โดยไม่ต้องใช้ยาอะไรเลย  ตอนนั้นเริ่มเชื่อแล้วว่า EMF มีผลต่อสุขภาพจริง  เลยคิดต่อไปว่า อาการป่วย ปวดข้อหาสาเหตุไม่เจอที่เป็นอยู่นั้น มันเป็นจาก EMF หรือเปล่า?

อุปกรณ์อย่างที่สอง ที่ผมจำเป็นต้องมีเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ คือ เครื่องวัด EMF หรือ Smog meter  ผมจึงสั่งซื้อ Smog meter มาหนึ่งเครื่องจากต่่างประเทศ  เมื่อได้มา ก็เริ่มวัดไปทุกจุดในบ้าน มาตกใจตรงเตียงที่ตัวเองนอน วัดค่าได้ 4-5 mW/m2  ในขณะที่ค่าที่ปลอดภัย ตามเครื่องวัดระบุ ไม่ควรเกิน 0.18 mW/m2 ก็พยายามหาว่า  EMF มาจากทิศไหน โดยใช้วิธีเอากระจกเงาแบบถือ ซึ่งสามารถบังคลื่นได้ เนื่องจากมีปรอทเคลือบอยู่ มาลองบังรอบๆ Smog meter ทีละด้าน เพื่อดูว่าบังด้านไหนแล้วตัวเลขลดลง ก็เจอว่า EMF ทะลุกำแพงด้านล่างใต้หน้าต่างมา ในมุมทะแยงขึ้นมา ดูจากทิศทางแล้ว เป็นทิศที่มีเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ตั้งอยู่ที่ปากซอย ห่างไปประมาณ 100 เมตร แต่มุมที่มาของคลื่นเป็นมุมทะแยง ซึ่งเป็นบริเวณที่จอดรถ มีหลังคาเป็นอลูมิเนียม ก็เข้าใจเลยว่า EMF ที่มาจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ส่วนหนึ่งยิงตรงมาที่เตียง อีกส่วนหนึ่งสะท้อนหลังคาโรงรถ และรถที่จอดอยู่ มาที่เตียงอีกที รวมกับสัญญาณที่ยิงตรง จึงทำให้บริเวณเตียง มีระดับของ EMF สูงผิดปกติกว่าตำแหน่งอื่นในบ้าน  ก็เลยต้องหาทางลด EMF ที่มาที่เตียงให้ได้

จากความรู้ว่า EMF จากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ เป็นคลื่นในช่วง Microwave ซึ่งทะลุคอนกรีตได้ แต่ทะลุโลหะไม่ได้ จึงทดลองเอา Aluminium foil ที่ใช้ทำอาหาร มาติดกับ Future board แล้วแปะติดผนังบริเวณที่ EMF ทะลุเข้ามาที่เตียง ติดจนเพียงพอแล้ว วัดค่า EMF ใหม่  คราวนี้ค่าลดลงไปอยู่แถวๆ 0.2-0.4 mW/m2  ก็ยังดี เพราะเพิ่งติดแค่โซนเดียว ยังไม่ได้ติดบังส่วนอื่นของผนัง

หลังจากสามารถลดระดับ EMF บริเวณเตียงลงได้ ก็เริ่มพบว่า ร่างกายดีขึ้นมาก อาการปวดข้อน้อยลง จากเดิม เวลานอนตื่นขึ้นมาแล้วมักจะปวดข้อมาก กลายเป็น พอได้นอนที่เตียงนี้แล้ว อาการจะดีขึ้น แต่ อาการปวดข้อเท้ายังไม่หายสนิท ยังเป็นซ้ำอยู่แม้จะดีขึ้น  แต่เริ่มสังเกตุว่า ทำไมขับรถแล้วมักจะปวดข้อเท้า  ก็เริ่มตั้งคำถามว่า ในรถ มี EMF สูงหรือเปล่า เพราะไม่เคยวัด และข้อมูลในต่างประเทศก็ไม่ค่อยพูดถึง EMF ในรถยนต์ แต่เริ่มมีพูดถึงระยะหลัง ในรถ Hybrid  แต่รถผมไม่ใช่ Hybrid ก็เลยไม่ได้วัด  พอสงสัยก็เลยเอา Smog meter ไปวัดดู  เจอเข้าเต็มๆเลยครับ รถคันที่ขับประจำ ตรงตำแหน่งวางเท้าทั้งซ้ายและขวา มีค่า EMF ขึ้นสูง ทั้ง ความถี่ต่ำ(LF) และความถี่สูง(RF)  โดยเฉพาะตรงเท้าซ้าย เจอค่า RF ขึ้นไปถึง 30-50 mW/m2  (ค่าปกติ ไม่ควรเกิน 0.18 mW/m2)  ปกติค่าที่วัดได้ พบว่าจะไม่คงที่ ขึ้นกับจังหวะของเครื่องยนต์  การทำงานของไดชาร์ท แอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องเสียง  บางครั้งค่าก็ดูเหมือนจะต่ำ เหลือแค่ 6 mW/m2 บางครั้งก็พุ่งขึ้นไปถึง 50 mW/m2  ก็สรุปได้ว่า ขึ้นกับการทำงานของอุปกรณ์ในรถยนต์ของเรานั่นเอง  รถยี่ห้ออะไร รุ่นไหน ไม่ขอพูดนะครับ เดี๋ยวโดนฟ้อง  ทำไงล่ะคราวนี้  จะหาวิธีเอา Foil ไปบุ ก็ไม่หาย เพราะรถยนต์ มันเป็นเหมือนกล่องโลหะอยู่แล้ว คลื่นมันสะท้อนไปมา ทุกทิศทุกทาง กันไม่อยู่  เลยยอมหาซื้อรถคันใหม่  เวลาไปขอลองรถ ก็เอา Smog meter ไปวัดด้วย  สุดท้ายเจอรถที่มีค่า EMF ต่ำมาก โดยเฉพาะด้านคนขับ  เนื่องจากระบบการ Wiring สายไฟ และการวางตำแหน่งกล่องฟิวส์ อยู่ด้านซ้าย  ก็เลยซื้อรถรุ่นนั้นมาใช้  ตั้งแต่นั้นมา อาการปวดข้อเท้า ปวดข้ออื่นๆ ความรู้สึกผิดปกติของร่างกาย ที่ปวดซ้ำซากทุกๆสัปดาห์  เดินด้วยไม้เท้าบ่อยๆ ถึงบ่อยมาก  ก็เริ่มทุเลาลง ไม่ต้องกินยา ไม่ค่อยปวด จนกระทั่งหายไปหมด และไม่ปวดอีกเลยเป็นเวลาสองปีแล้ว

เมื่อรู้กับตัวเองว่า EMF มันมีผลจริงๆกับสุขภาพ ก็เริ่มระวัง EMF จากทุกแหล่ง  ย้ายตำแหน่ง WiFi Router จากเดิมที่เคยวางไว้ข้าง Destop หลัง monitor ก็หาสายมาต่อ ย้ายตำแหน่งให้ห่างออกไปเท่าที่ทำได้ อย่างน้อย 3 เมตร  Notebook ก็พยายามใช้ให้น้อยลง ไม่วางมือไว้เหนือ Notebook โดยไม่จำเป็น  ไม่วาง Notebook บนตัก  ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือมากไป  เวลาเล่น พยายามวางบนโต๊ะ ไม่จับตลอดเวลา  เวลาคุยโทรศัพท์ ถ้าใช้สายเสียบหูฟัง จะดีกว่า เอาไปแนบหู  และดีกว่าใช้ Bluetooth  แต่ถ้าฉุกเฉิน ต้องยกคุย ก็อย่าเอาไปแนบหู ให้ถือให้ห่างที่สุด เท่าที่เรายังสามารถฟังได้ยิน  ถ้าปิด WiFi และ Data ได้ ก่อนที่จะต้องคุยโทรศัพท์นานๆ จะดีมาก  และยังมีอื่นๆอีก  คงได้กล่าวต่อไปในโอกาสหน้า  เพราะเราคงไม่สามารถหลีกเลี่ยง EMF ได้  เพราะตอนนี้มันมีอยุ่ทุกหนทุกแห่ง มากบ้างน้อยบ้าง ต้องวัดดูถึงรู้ว่าตรงไหนมาก

โดยส่วนตัว ผมรู้ว่า EMF มีผลต่อสุขภาพจริง  สำหรับคนอื่น จะเชื่อ หรือไม่เชื่อเรื่อง EMF ผมไม่เดือดร้อนอะไร เพราะสุขภาพใครก็ดูแลกันเองครับ ผมก็เล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง ส่วนใครจะไปหาข้อมูลเพิ่มโดยวิธีไหนก็ตามสะดวกครับ  จะละเลย หรือเพิกเฉย ก็ไม่ว่ากัน  รอวันหนึ่งที่มีปัญหาสุขภาพ ที่รักษาแล้วไม่หายสักที หาสาเหตุชัดๆไม่ได้ ก็อย่าลืมคิดถึงบทความที่ผมเขียนนะครับ กลับมาอ่านใหม่อีกครั้งก็ได้เมื่อถึงวันนั้น  ถ้าโชคดีก็อาจเป็นปัญหาสุขภาพที่ยังไม่ถึงตายไม่ถึงมะเร็ง  แต่ถ้าเป็นมะเร็งจริงๆ ที่หมอทั้งหลายบอกว่า อยู่ได้อีกไม่นาน  ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง  ถ้าว่างๆ ผมจะเขียนวิธีรักษามะเร็ง ต่อจากเรื่อง EMF ในแนวทางการแพทย์ทางเลือก สำหรับคนที่สิ้นหวังจากการแพทย์สายหลัก และการแพทย์ทางเลือกสายอื่น  เพราะ ตอนนี้ วิธีรักษามะเร็งของการแพทย์สายหลัก ก็ยังรักษาได้แค่ระดับหนึ่ง  ส่วนการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกทั่วๆไป คนก็ยังไม่เข้าใจกันดี และไม่หายเท่าไรนัก เพราะมันมีเหตุ ที่ทำให้ไม่หาย  แล้วพบกันครับ 

(อ่านบทความ "แนวทางการรักษามะเร็งกับการแพทย์ทางเลือก" ได้ใน https://cancergohome.blogspot.com)

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

2. ประโยชน์ และโทษ ของ EMF ต่อสุขภาพ

ในประเทศไทย ยังไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพจาก EMF กันเท่าไรนัก แม้จะมีข่าวอยู่บ้าง ว่ามีชาวบ้านร้องเรียนว่า มีปัญหาสุขภาพ หลังจากมีการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ในบริเวณใกล้เคียง  แต่หน่วยงานของรัฐ ก็มักออกมาปกป้องบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจสื่อสาร รวมทั้งมักอ้างว่า ทุกอย่างอยู่ในค่ามาตราฐาน แล้วก็เงียบๆไป ปล่อยให้ประชาชนมีปัญหาสุขภาพกันไป โดยหาสาเหตุไม่ได้

EMF มีผลต่อร่างกายจริงหรือ  ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆที่เห็นชัด ก็เช่น ลองลืมตาจ้องมองแสงจากดวงอาทิตย์ดูสักพักว่าจะเกิดอะไรขึ้น  แสงจากดวงอาทิตย์ ก็เป็น EMF ในช่วงคลื่นแสงที่มองเห็น แสง UV และ Infrared รวมทั้งมีช่วงคลื่นอื่นๆที่ถูกสกัดออกไปจากชั้นบรรยากาศโลก  หรือถ้าตากแดดนานๆ เราคงทราบดีว่า จะเกิดอะไรขึ้น  ตัวอย่างง่ายๆนี้แสดงให้เห็นว่า พลังงานที่ส่งมาจาก EMF นั้น มีผลกับร่างกายเรา มากน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละคน เช่น บางคน อาจทนแดดได้นานกว่าอีกคนหนึ่ง  เพราะมนุษย์มีความแตกต่างกัน  EMF ที่มาจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์  จากเตาไมโครเวฟ  จากโทรศัพท์มือถือ  จาก WiFi Router ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน มีผลกับคนแต่ละคนไม่เท่ากัน  มีคนประมาณ 30 % ที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบ้าง เมื่อสัมผัสกับคลื่นจากอุปกรณ์เหล่านี้  แต่มีประมาณ 3 % ที่เกิดการแพ้ที่รุนแรง เกิดความผิดปกติมาก ในด้านต่างๆของร่างกาย ในสภาวะที่ได้รับคลื่นในระดับที่เท่าๆกัน  แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่ไม่รู้สึก หรือ ทนกับ EMF ได้นั้น จะไม่เกิดปัญหาสุขภาพตามมา  จริงๆแล้ว ทุกคนได้รับผลกระทบหมด เพียงแต่บางคนรู้สึก แต่บางคนไม่รู้สึกเท่านั้น

เนื่องจาก EMF ที่นำมาใช้กันมากในการสื่อสาร เป็นความถี่ระดับ Microwave  ซึ่งปกติแล้ว ช่วงคลื่นนี้จะถูกดูดซับโดยส่วนที่เป็นน้ำ เหมือนเวลาเราปรุงอาหาร จะพบว่า อาหารสุกออกมาจากด้านใน ซึ่งต่างจากการย่างตามปกติ ซึ่งจะสุกจากด้านนอกที่สัมผัสความร้อน  EMF ระดับ Microwave นี้ สามารถทะลุร่างกายเราเข้าไปถึงระดับเซล ส่งพลังงานโดยตรงให้ระดับเซลของเรา  ถ้าพลังงานไม่มาก มันก็ไม่เกิดผลมากนัก แต่เมื่อเราต้องเจอกับคลื่นพวกนี้ตลอด 24 ชม. แม้ระดับมันจะต่ำบ้าง สูงบ้าง แต่มันก็เริ่มมีผล เพราะระยะเวลาที่มีการสัมผัสอย่างต่อเนื่อง  มีการศึกษาในต่างประเทศ ถึงปัญหาสุขภาพในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่รอบๆ เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ในรัศมี 300 เมตร พบว่า มีสถิติการป่วยในด้านต่างๆมากขึ้นผิดปกติ กลุ่มอาการเหล่านี้ ฝรั่งเรียกว่า Rapid Aging Syndrome คือ การเสื่อมของร่างกายที่เกิดขึ้นมาจากภายในอย่างรวดเร็ว จากการได้รับ EMF ในระดับสูงอยู่เป็นเวลานาน อาการที่เกิดขึ้นได้แก่ นอนไม่หลับ มึนงง อ่อนเพลีย ปวด วิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งเป็นเรื้อรัง  จากการสำรวจ วิจัย เก็บข้อมูล พบว่า กลุ่มคนที่อยู่ในรัศมี 300 เมตรจากเสาส่งสัญญาณ มันมีปัญหาสุขภาพ ดังนี้
1. Fatique
2. Sleep disturbance
3. Headaches
4. Feeling of discomfort
5. Difficulty concentrating
6. Depression
7. Memory loss
8. Visual disruptions
9. Irritability
10. Hearing disruptions
11. Skin problems
12. Cardiovascular
13. Dizziness
14. Loss of appetite
15. Movement difficulties
16. Nausea

นอกจาก EMF ที่เป็นระดับ Microwave แล้ว  EMF ที่เป็นระดับ Low Frequency ที่มักมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟฟ้าในบ้าน เวลาที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้น ก็ทำให้เกิด Dirty Electricity และเกิด EMF ที่เป็น Low Frequency ตามมา   คลื่น LF นั้น ก็มีผลต่อสุขภาพเช่นกัน ยิ่งสัมผัสเป็นเวลานาน ก็ยิ่งเกิดปัญหา

มีการทดลองโดยการเจาะเลือดมาตรวจ เพื่อดูการกระจายตัวของเม็ดเลือดแดง เปรียบเทียบกับ เลือดที่เจาะหลังจากให้คนๆเดิม ไปนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ นาน 70 นาที และใช้โทรศัพท์มือถือ อีก 10 นาที  พบว่า เม็ดเลือดแดงก่อนเล่นคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์นั้น มีการกระจายตัวที่ดี  ส่วนเม็ดเลือดแดงที่เห็นหลังจากไปเล่นคอมและโทรศัพท์ นั้นเกิดการเกาะตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นสาย ที่เรียกว่า Rouleaux formation ซึ่งมีผลต่อการไหลเวียน และการนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย  นอกจากนี้ ยังพบอุบัติการของการเกิดมะเร็งของสมอง และส่วนอื่นของร่างกายเพิ่มขึ้น เช่น ในตำรวจประเทศหนึ่ง ที่มีการเหน็บวิทยุสื่อสารไว้บริเวณไหล เพื่อเอียงหน้าไปพูดได้ตลอดเวลา พบอุบัติการเกิดมะเร็งเต้านมในตำรวจหญิงเพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาที่บริเวณคอ และสมอง

EMF ใช่ว่าจะมีแต่โทษ ที่จริงเรามีการนำ EMF ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านสุขภาพ คนอาจป่วยจากการสัมผัส EMF แต่ก็มีการทำให้คนหายป่วย จากการใช้ EMF เช่นกัน มีการประดิษฐ์เครื่องมือที่ปล่อยพลังงานคลื่นออกมาเป็นจังหวะ เรียกว่า PEMF (Pulsed Electromagnetic Field)  ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการรักษา ทั้งในคนและสัตว์ มีการพิสูจน์ให้เห็น ด้วยการส่องดูการไหลเวียนของเม็ดเลือดในระดับ Capillaries พบว่า ในคนไข้ที่มีการไหลเวียนผิดปกติ เม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นกลุ่ม เมื่อนำมาให้ PEMF เข้าไป พบว่า เม็ดเลือดแดงที่เป็นกลุ่ม กระจายตัวออก การไหลเวียนของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น และเม็ดเลือดขาวเคลื่อนตัวเข้าไปในเนื้อเยื่อต่างได้สะดวกขึ้น  มีการใช้ PEMF กันในหลายประเทศทั่วโลก แม้จะไม่ใช่เป็นการแพทย์สายหลัก  แต่ก็เป็น Alternative Medicine อย่างหนึ่ง ที่ได้ผล โดยเฉพาะเมื่อใช้รักษาอาการที่เกิดจาก EMF ด้วยกัน  เหมือนกับ "หนามยอก เอาหนามบ่ง" ประมาณนั้นเลย

ศาสตร์การรักษาด้วย PEMF นั้น ในต่างประเทศมีมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อก่อนเรียกว่า Frequency Medicine ต่อมาภายหลัง เรียกว่า Energy Medicine  ซึ่งมีแพทย์ ที่เป็นต้นกำเนิดการใช้สนามแม่เหล็ก และ EMF ในการรักษาโรค อยู่ 2 ท่านที่น่ากล่าวถึง คือ Dr. Bob Beck  และ Dr. Royal Rife  สำหรับ Bob Beck นั้น ได้ประดิษฐ์เครื่องยิงสนามแม่เหล็กแบบง่ายๆ โดยเริ่มแรก ดัดแปลงจากการใช้กระแสไฟฟ้าจากแฟลชกล้องถ่ายรูป ส่งเข้าไปในขดลวดเพื่อทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก และ EMF แบบรวม เป็นการยิงทีละนัด เหมือนยิงสนามพลังงานเข้าไปในร่างกาย เพื่อรักษามะเร็ง ไวรัส และเชื้อโรคอื่นๆ  เป็นเทคนิคการรักษาที่เป็นส่วนหนึ่งของ Bob Beck's Protocol  ส่วนของ Royal Rife นั้น ค้นพบว่าการใช้ความถี่ที่ถูกต้อง สามารถทำให้เชื้อโรคตายได้ เหมือนการเกิด Resonance ของคลื่นเสียงที่มีความถี่ถูกต้องสามารถทำให้แก้วแตกได้  แพทย์และนักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อๆมาก็มีการวิจัย และพัฒนาเทคนิค รวมทั้งค้นหาคลื่นความถี่ต่างๆที่สามารถรักษาโรคต่างๆได้  เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง เรียกว่า Frequency Medicine หรือ Energy Medicine เพียงแต่ศาสตร์นี้ ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการให้ใช้ในการรักษาเป็นหลัก  แต่ถูกดึงมาใช้ในบางอุปกรณ์ บางสาขา เช่น การรักษามะเร็ง โดยใช้ RF  การยกกระชับใบหน้าโดยการใช้เครื่อง Thermage  การทำให้แผลเป็นที่เป็นหลุมดีขึ้น โดยใช้ RF   การรักษาคนไข้ซึมเศร้า โดยใช้ Magnetic Stimulator  การรักษาปัญหากระดูกพรุนในนักบินอวกาศ เป็นต้น  ทั้งหมดเป็นศาสตร์จาก Energy Medicine ทั้งสิ้น

1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Electromagnetic Wave เป็น พลังงานที่ถูกปล่อยออกมา ในรูปคลื่นที่มีความถี่ และความยาวคลื่นต่างๆกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของศักดิ์ไฟฟ้า ก็จะเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเสมอ  เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ว่าอะไรคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ตัวอย่างที่ทุกคนรู้จักกัน คือ แสง  รังสีเอ็กซเรย์  รังสี UV  คลื่นวิทยุ ทั้ง AM และ FM  เรดาร์  คลื่นไมโครเวฟ เป็นต้น

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ใช่สนามแม่เหล็ก  สำหรับสนามแม่เหล็ก จะเรียกว่า Magnetic Field เกิดจากแม่เหล็ก ซึ่งเป็นพลังตามธรรมชาติพื้นฐานชนิดหนึ่ง เหมือน Gravity หรือ แรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นพลังงานธรรมชาติ พื้นฐานอีกอย่างหนึ่ง  ส่วน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะเรียกว่า Electromagnetic Wave หรือ Electromagnetic Radiation  ในบริเวณที่มี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็อาจเรียกว่า Electromagnetic Field (EMF) ซึ่งตัวย่อ EMF มักเป็นที่นิยมเรียกกัน เมื่อต้องการเอ่ยถึง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ซึ่งต่อไปในบทความนี้ จะเรียกว่า EMF ต่อไป

EMF ในปัจจุบัน พบได้ทั่วไปทุกหนแห่ง เพียงแต่เราไม่ตระหนักถึงมันนัก EMF ที่เราอาจรู้สึกได้ชัดเจน คือ แสง  แต่ EMF อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ทั่วไปนั้น เราไม่ได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันนัก รวมทั้งไม่รู้สึก และไม่เข้าใจถึงผลกระทบจากมัน เพราะเรามองไม่เห็น  เหมือนเชื้อโรคที่หมอมักพูดถึง แต่คนส่วนมากก็ไม่เคยเห็นเชื้อโรคจริงๆกัน เพียงแต่ส่วนมากเรายอมรับถึงความมีอยู่ของเชื้อโรค และอันตรายจากเชื้อโรค  ส่วน EMF นั้น เรายังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับกัน

ทำไมจึงต้องมากล่าวถึง EMF  ตอบได้ว่า เพราะมันเริ่มเข้ามากระทบชีวิตมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ  แต่เดิม EMF อาจไม่มีผลมากนัก ในยุคที่การใช้กระแสไฟฟ้ามีน้อย และการสื่อสารด้วยระบบไร้สายยังไม่มี  แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคของการสื่อสารไร้สาย และ อินเตอร์เน็ท  ก็เริ่มมีการพัฒนาคลื่นที่แก้ปัญหาการสื่อสารแบบเดิม ซึ่งคลื่นแบบเดิมนั้นมีปัญหาในการทะลุทะลวงคอนกรีตไม่ได้  นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาคลื่นซึ่งสามารถทะลุทะลวงคอนกรีตได้ มาใช้ในการสื่อสารไร้สาย นั่นคือ คลื่น Microwave  ครับ คลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตาไมโครเวฟ ที่ใช้ทำให้อาหารสุก หรือ อุ่นอาหาร  ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาจาก EMF ที่มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ทั้งในทางที่เป็นประโยชน์ และทางที่เป็นโทษ

คนส่วนมาก รับรู้ถึงประโยชน์ของ EMF ทั้งในแง่ของการสื่อสารไร้สาย  วิทยุ  โทรทัศน์  ดาวเทียม Internet  WiFi  Data  ฯลฯ  แต่มักไม่ทราบถึงอันตราย  เพราะข้อมูลนี้มักไม่มีใครเผยแพร่ หรือ พิสูจน์ยาก เนื่องจากมีผลกระทบต่อธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้แม้แต่องค์กรของรัฐบาลหลายๆแห่งทั่วโลก ก็ไม่อยากพูดถึงอันตรายของมัน เพราะกระทบต่อเรื่องของการเงินมูลค่ามหาศาล  ดังนั้น สิ่งที่จะพูดต่อไปเกี่ยวกับอันตรายของ EMF นั้น ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเชื่อ แค่เก็บไว้เป็นข้อมูล เอาไปคิด หรือเอาไปใช้ระวัง หรือ จะเพิกเฉย ก็แล้วแต่ละบุคคล

EMF รอบๆตัวเรา มาจากอะไรบ้าง?  ในที่นี้จะพูดชัดๆถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวหลักๆ ที่ส่งผลต่อเราได้ นั่นคือ
1. เตา Microwave
2. WiFi Router
3. โทรศัพท์มือถือ  วิทยุสื่อสาร
4. โทรศัพท์บ้าน แบบไร้สาย
5. Computer ทั้ง Notebook และ Desktop
6. เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
7. เสาส่งสัญญาณ WiFi
8. Baby monitor ที่ใช้ WiFi
9. กล้องวงจรปิด ที่ใช้ WiFi
10. หม้อแปลงไฟฟ้า
11. อุปกรณ์ภายในรถยนต์
12. สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ ไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้กระแสสลับ หรือใช้ กระแสตรง แต่กระแสไม่นิ่ง
13. รีโมททีวี รุ่นใหม่ที่ใช้ WiFi เชื่อมต่อกับทีวี

การที่เราจะรู้ได้ว่า มี EMF บริเวณนั้นมากแค่ไหน จำเป็นต้องมีเครื่องมือวัด EMF ซึ่งอาจเรียกว่า "Smog meter"  เนื่องจากบริเวณที่มี EMF มากกระจายมาจากแหล่งต่างๆ จะมีคำศัพท์เรียกว่า Electrosmog  เปรียบเสมือนมลภาวะพวกหมอกควัน แต่เป็นมลภาวะจาก EMF แทน  ปกติแล้ว แต่ละประเทศ อาจกำหนดค่าความปลอดภัย ของระดับ EMF ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญา และผลประโยชน์ ของผู้นำรัฐบาลประเทศนั้นๆ รวมถึงความตระหนักถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน  แต่จากข้อมูลใน Smog meter รุ่นหนึ่ง ซึ่งกำหนดค่ามาตราฐานไว้ ในโซนสีเขียว ซึ่งหมายถึง ยังปลอดภัย กำหนดให้ค่า RF หรือ ช่วงคลื่นที่เป็น Radio Frequency นั้น ไม่ควรเกินระดับ 0.18 mW/m2  ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทำการทดลองวัดค่าต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ และการพบปัญหาสุขภาพ เมื่อเทียบกับค่าของ EMF ที่วัดได้ ก็พบว่า ค่าที่กำหนดมา 0.18 mW/m2 นั้น น่าเชื่อถือได้

นอกจาก EMF ที่มีความถี่ระดับ RF แล้ว ยังมี EMF ที่อยู่ในระดับความถี่ที่ต่ำลง คือ อยู่ในช่วง Low Frequency หรือ LF  ซึ่งมักจะพบถูกปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ เนื่องจากกระแสสลับมีความถี่ 50-60 Hz อยู่แล้ว จึงทำให้เกิดคลื่นที่ความถี่ประมาณนี้ออกมาส่วนหนึ่ง  นอกจากนี้ ความไม่นิ่งของกระแสไฟฟ้า จากการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ยังทำให้เกิดคลื่นเล็กๆ ซ้อนอยู่บนคลื่นหลักที่กล่าวไปแล้ว  คลื่นเล็กๆพวกนี้ เรียกว่า Dirty Electricity เพราะมันทำให้เกิด EMF ที่มีความถี่ต่างๆ ถูกปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายไฟฟ้า ซึ่งยากจะคาดได้ว่า มีความถี่อะไรถูกปล่อยออกมาบ้าง แม้ส่วนใหญ่จะเป็นความถี่ในระดับ LF แต่ก็มีอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง ก่อให้เกิดคลื่นระดับ RF ออกมาด้วย ส่วนความรุนแรงของคลื่น มักจะขึ้นกับกระแสที่ไหล ถ้าสูง ก็มักจะเกิดขึ้นที่มีพลังงานมากกว่า  การจะวัดว่า ในระบบสายไฟฟ้าของเรานั้น เกิด Dirty Electricity มากแค่ไหน ต้องใช้เครื่องวัดที่เป็น Oscilloscope ปรับแต่งให้เห็นช่วงคลื่นระดับเล็กได้  แต่มีผู้คิดอุปกรณ์วัดค่า Dirty Electricity ให้ใช้งานง่าย เพียงแค่เสียบปลั๊กเข้าไปในระบบสายไฟ แล้วอ่านตัวเลขได้เลย  เครื่องวัดนี้เรียกว่า " Stetzerizer meter"  ปกติ ค่าที่ดีมี Dirty Electricity น้อย ควรอยู่ต่ำกว่า 50  การแก้ไขให้ Dirty Electricity ให้มีระดับลดลง ต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า " Stetzerizer "